วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสถานที่ทั้งสามไม่ว่าจะเป็น บาร์ยาดองที่พี่ชัชพาลูกค้าญี่ปุ่นไป(ลำ)ซิ่ง ร้านดอกไม้ที่ทำให้เกิดโมเมนท์สะเทือนคนโสดระหว่างเจนกับโมจิ หรือจะเป็นบาร์คิวบาสุดลึกลับที่น้องเดียร์ไขรหัสพาพี่ชัชไปแดนซ์กระจาย ขอเกริ่นไว้ก่อนเลยว่าสถานที่เหล่านี้มีอยู่จริง และ อยู่ใต้จมูกเรานิดเดียวนี่เอง !
เตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมจด กันให้ดี… เพราะวันนี้เราจะพาทุกคนออกทริปไปตามรอยหนังโรแมนติก-คอมเมดี้แห่งปีกัน !!
ONEDAY WALLFLOWERS OLD TOWN
หนึ่งในโลเคชั่นสะดุดตาจากภาพยนตร์เรื่อง “น้อง.พี่.ที่รัก” ก็คือร้าน Oneday wallflowers ร้านดอกไม้สุดเก๋ที่หลายคนคงจะคุ้นชื่อกันดี ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่านสุดเก๋า(และเก่าแก่) ซึ่งก็คือซอยนานา ย่านเยาวราชนั่นเอง
วันนี้เราพาน้อง ๆ พี่ ๆ ที่(น่า)รัก ทุกคนมาพูดคุยกับ “ลักษณ์–ณัฐพัชร สุริยะกำพล” สถาปนิก และเจ้าของร้านดอกไม้ที่สุดแสนจะมีสไตล์ ซึ่งร้านนี้พี่ลักษณ์ได้สร้างมันขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม !
หลาย ๆ คนอาจเคยรู้ว่าร้าน Oneday wallflowersOldtown นั้น เมื่อก่อนเคยตั้งอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 26 ซึ่งเป็น Glasshouse เล็ก ๆ แต่เมื่อการตอบรับดีมาก ปริมาณของการสั่งดอกไม้เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม และพื้นที่เล็ก ๆ ตรงนั้นก็ไม่เพียงพออีกต่อไป พี่ลักษณ์จึงตัดสินใจขยับขยายร้านมาที่ซอยนานาแห่งนี้
เมื่อเราถามพี่ลักษณ์ว่า ทำไมถึงเลือกมาเปิดร้านดอกไม้ที่ซอยนานา ซึ่งได้เปิดทำการมากว่าสี่ปีแล้ว พี่ลักษณ์ให้คำตอบว่า “ส่วนตัวชอบ area และตึกในย่านนี้ เพราะมันให้บรรยากาศลึกลับหน่อย ๆ” โดยพี่ลักษณ์ให้ความสำคัญกับสเปซในการทำงานเป็นหลัก ตัดสินใจเลือกโลเคชั่นที่อยู่แล้วชอบ อยู่แล้วได้รับแรงบันดาลใจ ที่นี่จึงเป็นที่ที่เพอร์เฟคสุดสำหรับเค้า พี่ลักษณ์ยังบอกอีกด้วยว่าตึกและอาคารแถวนี้มีอายุกว่าร้อยปี ! ส่วนร้าน Oneday wallflowers Oldtown ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในร้านที่มาบุกเบิกซอยนานา ให้กลายมาเป็นย่านสุดฮิปจนทุกวันนี้
เมื่อเดินเข้าร้านไปเราก็ได้พบกับดอกไม้นานาชนิดที่พี่ลักษณ์คัดสรรค์ และ ตระเตรียมไว้ เพื่อนำมาจัดช่อดอกไม้ตามที่เราได้ให้โจทย์ไป คือ “ช่อดอกไม้สุดเพอร์เฟคสำหรับโมจิที่รัก” เริ่มที่ดอกแรกคือ ดอกแดฟโฟดิล (Duffodill) ตามมาด้วย ดอกรานังคูลัส (Rananculus), ไดเซนทรา (Dicentra), ดอกซากุระ, ดอกกุหลาบ, Smoke Bush, อีรินเจียม (Eryngium), ดอกบัตเตอร์ฟลาย, แวกซ์ฟลาวเวอร์, และท้ายสุดคือ ดอกเอมมี่ (Ammi) พี่ลักษณ์เสริมว่า ด้วยความที่ตัวตนของโมจิจะเป็นคนค่อนข้างที่จะขี้อาย จึงเลือกที่จะใช้ดอกไม้ป่าที่มีลักษณะเป็นดอกเล็ก ๆ แล้วก็สีสันไม่จัดจ้าน และเสริมก้านดอกซากุระเข้าไป เพื่อสื่อถึงความเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นของโมจินั่นเอง
“ลูกค้าส่วนใหญ่เวลามาสั่งช่อดอกไม้ก็จะให้ concept ของคนรับ อย่างช่อนี้สำหรับผู้ใหญ่วัยทำงาน ช่อนั้นสำหรับผู้สูงอายุ ช่อนู้นสำหรับวัยรุ่น-วัยซ่าส์ แล้วเราจึงตีความจากโจทย์นั้น ๆ เพื่อที่จะได้จัดช่อดอกไม้ให้ถูกใจผู้สั่ง และ ถูกจริตผู้รับ เช่น ถ้าต้องจัดดอกไม้ช่อหนึ่งให้ “ผู้ชายขี้อาย” ก็จะจัดเป็นช่อเล็ก ๆ ดอกไม้ไม่ต้องแน่นมาก เน้นใช้ดอกไม้ป่า (wild flowers) เป็นกิ่ง ๆ หรือดอกเล็ก ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม ให้โดยรวมจัดออกมาแล้วดูไม่หวือหวาอลังการงานสร้างมาก เพราะต้องคิดว่าถ้าเราเป็นคนขี้อาย จะอยากถือหรือได้รับช่อดอกไม้แบบไหน ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราเวลาจัดช่อดอกไม้ให้ใครสักคน” นอกจากนั้น การจัดดอกไม้ตามโจทย์ เราสามารถใช้โทนสีในการสื่ออารมณ์ หรือ ความรู้สึก รวมไปถึงลักษณะส่วนตัวของดอกไม้-ใบไม้ ไม่ว่าจะเป็น ดอกเล็ก ดอกใหญ่ ดอกที่มีรูปลักษณ์แปลก ๆ เท่ ๆ ก็เป็นการสื่อความรู้สึกของผู้รับ และ ผู้ให้ได้เช่นกัน
ร้าน Oneday wallflowers เปิดบริการทุกวัน มีบริการจัดดอกไม้แบบช่อและตะกร้า พวงดอกไม้ และรับจัดทำดอกไม้ใส่กรอบ โดยมีบริการจัดส่งให้ถึงที่ ส่วนร้านกาแฟ Nana Coffee Roaster ด้านในนั้น ปิดบริการทุกวันพุธ อย่าไปเก้อกันหล่ะ!
STUDIO LAM
“ณัฐ-ณัฐพล เสียงสุคนธ์” หรือ ที่หลาย ๆ คนรู้จักในนาม ดีเจ มาฟท์ ไซ (DJ Maft Sai) พี่ณัฐยังเป็นสมาชิกของวงดนตรีหมอลำร่วมสมัย วง เดอะ พาราไดซ์ แบงค็อก หมอลำ อินเตอร์เนชั่นแนล (The Paradise Bangkok Molam International Band) และเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ Studio Lam อีกด้วย
พี่ณัฐได้เล่าถึงที่มาที่ไปของ Studio Lam บาร์หมอลำสุดฮิปที่มีอายุสามขวบ ย่างเข้าสี่ชวบ แห่งซอยสุขุมวิท 51 ว่าบาร์แห่งนี้มีที่มาจาก Zudrangma Records ซึ่งเป็นร้านแผ่นเสียงที่เปิดมาแล้วกว่าแปดปี และตั้งอยู่ถัดไปจากบาร์แห่งนี้ ร้านแผ่นเสียงนี้เป็นร้านที่เน้นการโปรโมทเพลงประเภทลูกทุ่ง หมอลำ ไปจนถึง World Music ของแต่ละประเทศ แต่โฟกัสในช่วงยุค ‘70s เป็นหลัก เมื่อพี่ณัฐได้ยินว่า space นี้ (ที่ตั้งปัจจุบันของ Studio Lam) เจ้าของกำลังปล่อยให้เช่า โปรเจค Extended Space จึงเกิดขึ้น และต่อยอดมาในคอนเซ็ปต์ “Create new music that exists outside the mainstream” ซึ่งหมายถึง การครีเอทประเภทเพลงที่อยู่นอกเหนือเพลงที่พาณิชย์จัดๆ โดยเอาชื่อ Podcast ของตัวเองมาเป็นชื่อบาร์ แล้วชักชวนให้วง Local Band หรือพวกวง Experiment ต่าง ๆ มาปล่อยของและโชว์ฝีมือกันที่บาร์Studio Lam แห่งนี้
เนื่องจาก Studio Lam เป็นเหมือนที่ที่ให้คนมาปล่อยของ เลยมีการชักชวนดีเจ และศิลปินจากหลากหลายที่มาแจมกันอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นดนตรีที่นี่จึงมีหลากหลายแนวมาก ไม่ว่าจะเป็น World Music, Soul, Funk, Disco, House, Techno และแน่นอน...หมอลำ-ลูกทุ่งของบ้านเรานั้นขาดไม่ได้! (จริง ๆ ที่ Studio Lam จะเน้นเรื่องเพลงและระบบเสียงเป็นหลัก ถึงแม้จะเป็นแค่ที่เล็ก ๆ แต่เมื่อเข้ามาที่นี่การันตีได้เลยว่าคุณจะได้ฟังเพลงที่เสียงอุ่น-เสียงดีกว่าบาร์ทั่ว ๆ ไป เพราะที่นี่มีการ Set Up ให้เหมือนเป็นสตูดิโออะคูสติก เพราะฉะนั้นเวลาฟังเพลง ณ ที่แห่งนี้ เสียงเลยจะนุ่มกว่ามาก)
ด้วยความที่ Studio Lam มีขนาดเล็กกะทัดรัด ฉะนั้นวันไหนที่มีงานอีเว้นท์ ทางบาร์จะปล่อยให้มีคนเข้าได้เพียง 80 คนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่เหลือที่ให้แดนซ์และเซิ้งหมอลำกระจายแน่นอน โดยเฉพาะคืนไหนที่มีการเล่นสดของวง The Paradise Bangkok Molam International Band คืนนั้นจะเป็นคืนที่บาร์แห่งนี้คึกคักสุด ๆ ไปเล้ยยย!
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นบาร์ นอกจากเพลงเจ๋ง ๆ แล้ว สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็เห็นจะเป็นเครื่องดื่ม แล้วดริ๊งก์อะไรจะเหมาะกับการจิบไป ฟังหมอลำไป นอกจาก ยาดอง อีกล่ะ! แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า “ยาดอง” ของ Studio Lam นั้นไม่ใช่ #ยาดองที่แท้ทรู หรอกนะ แม้ว่าจะใช้ชื่อยาดองจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้ให้สรรพคุณในการรักษาตามที่ยาดองควรจะเป็น หากแต่เป็นเพียงส่วนผสมระหว่างเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กับ ผลไม้หรือสมุนไพร ดองเอาไว้เพื่อให้ได้กลิ่นที่ออกมาคล้ายกับกลิ่นยาดองมากที่สุด และเป็นการเอา concept ของรูป รส และกลิ่น ของยาดองจริง ๆ มาใช้มากกว่า
เมื่อเราถามพี่ณัฐว่าการทำยาดองเองนั้นถูกกฎหมายหรือไม่ ? จึงได้ #สาระ มาว่า...ผู้ที่ทำยาดองเหล้าขายนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และมีใบประกอบโรคศิลปะแผนไทยเนื่องจากยาดองแท้ ๆ นั้นเป็นสมุนไพรที่แปรรูป และถือเป็นตำรับยาชนิดหนึ่ง ผู้ที่ปรุงยาชนิดนี้จึงต้องมีความรู้ตามกฎหมายการประกอบโรคศิลปะเท่านั้นจ้า
พูดคุยกันมาพอหอมปาก หอมคอแล้ว ทางเราก็ได้ขอให้พี่นัฐช่วยเลือก “ยาดอง” ที่เหมาะสมกับความเป็น “พี่ชัช” พี่ชายตัวห่วยมาสักชนิดหนึ่ง ซึ่งพี่นัฐก็ได้เลือกยาดองที่ดองกับสละ และเป็นที่รู้จักของ Studio Lam อยู่แล้ว ชื่อว่า “สละโสด” ส่วนคนไหนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ทางร้านก็สามารถรังสรรค์ Mocktail (ซึ่งไม่มีในเมนู) ให้ได้ตามใจคนสั่งเลย!
HAVANA SOCIAL
วันนี้ได้มาพูดคุยกับ “พี่นะห์-อามีนะห์ วงฬ์สุวรรณ” พนักงานของ secret bar สุดลึกลับสไตล์คิวบา Havana Social ที่เปิดมากว่าสองปีแล้ว ! แม้ secret bar แห่งนี้จะตั้งอยู่ใจกลางสุขุมวิท แต่ขึ้นชื่อว่าเป็น “บาร์ลึกลับ” แล้ว การเดินทางก็ต้องลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน กันซักหน่อย Havana Social นั้นซ่อนตัวอยู่ที่หลืบของซอยเล็กๆ ตรงข้าม Fraser Suites ในซอยสุขุมวิท 11 เคล็ดลับคือให้มองหาตู้โทรศัพท์ที่ติดป้ายใหญ่ ๆ ว่า "Telefono" แต่ความลึกลับยังไม่หมดแค่นี้ เพราะถึงจะหาร้านจนเจอแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามากันได้ง่ายๆ นะ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็น secret bar ก็ต้องมีการทดสอบความสามารถในการไขปริศนาเสาะหารหัสลับเพื่อเปิดประตูกันซะหน่อย
ใครที่อยากผ่านประตูเข้ามา สามารถโทรไปถามรหัสลับได้ที่เบอร์ 087-066-7711 เมื่อได้รหัสมา ให้กดรหัสลงบนแป้นโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้า ประตูถึงจะเปิดออก แล้วนำพาคุณมาดื่มด่ำบรรยากาศบาร์วินเทจ ภายใต้แสงไฟส้ม ๆ สลัว ๆ ประกอบกับการตกแต่งภายในที่ใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าจริงบ้างหรือทำให้ดูเก่าบ้าง ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ที่เมืองหลวงของคิวบาอย่างฮาวาน่า ในยุค ‘40s และที่จริงแล้วนั่นก็คือ concept ของบาร์ลึกลับแห่งนี้นี่เอง
ฮาวาน่า (Havana) เป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศคิวบา ในยุค ‘40s ถือเป็นยุคปฏิวัติของคิวบา แม้ข้างนอกจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายของสงครามและการสู้รบ แต่เมื่อสงครามสงบ ผู้คนก็จะรวมตัวมาแฮงค์เอ้าท์ตามร้านบาร์เล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่เพื่อบริการและให้ความบันเทิงแก่คนในยุคสมัยนั้น เหมือนกับที่ Havana Social แห่งนี้ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของย่านสุขุมวิท แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้าน ก็เหมือนได้พาตัวเองหนีมาเที่ยวที่ฮาวาน่าเลยทีเดียว!
วันธรรมดาของที่นี่จะมี DJ มาเปิดเพลงสไตล์ลาตินสนุก ๆ ให้ทุกคนได้ฟังกันเพลิน ๆ เข้ากับบรรยากาศและการตกแต่งร้าน ส่วนวันศุกร์-เสาร์ ก็เป็นคิวของ LIVE Band และ Salsa Dance Show คนไหนที่นึกสนุก (ลุกขึ้นขยับ ไม่ใช่!) สามารถลุกขึ้นมาแดนซ์ salsa กันให้กระจายไปเลย
เต้นเหนื่อย ๆ ก็เกิดความกระหายอยากได้ดริงก์สดชื่น ๆ มากระแทกปากสักนิด เราก็ได้ขอให้ทางร้านช่วยเลือกเครื่องดื่ม Mocktail (เครื่องดื่มแบบ non-alcohol) ที่คิดว่าเหมาะสมกับความเป็น “พี่ชัช” มาสักหนึ่งแก้ว บาร์เทนเดอร์สุดเท่ก็ไม่รีรอ รีบจัดเมนู “Children Of The Regime” มาให้ทันที ความหอมของตะไคร้และโรสแมรี่ที่เผาไฟมาเบา ๆ ผสมผสานกับรสชาติเปรี้ยวอมหวานของราสเบอร์รี่ ตบท้ายด้วยความเย็นซ่าของโซดาและฟองนุ่ม ๆ เหมือนกับความซ่าส์บ้าบิ่น แต่ก็ยังมีโมเมนท์ให้ยิ้มมุมปากในแบบฉบับของพี่ชัชนั่นเอง บอกได้คำเดียวว่า Perfecto!
ใครอยากแวบมานั่งเก๋ ๆ ที่ Havana Social เราแอบบอกไว้ก่อนนะว่าร้านนี้ไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าแตะเข้ามานะจ้ะ แต่แหมมมม...จะมาบาร์วินเทจสุดเท่ทั้งที ทางเราก็ขอแนะนำให้แต่งตัวเข้าธีมกันนิดนึง ทางร้านมีพรอพเป็นหมวก Fedora สไตล์คิวบัน วางไว้ให้ทุกคนหยิบมาใส่กันตามอัธยาศัยแถมยังเข้ากับบรรยากาศของร้านอีกด้วยนะเออ
ใครมีโอกาสได้แวะไปแดนซ์ให้ตัวปลิว หรือใครจะแค่มานั่งชิว ยังไงก็อย่าลืมหามุมเก๋ ๆ แชะภาพแบบ “พี่ชัช” กับ “น้องเดียร์” อย่างในเรื่อง น้อง.พี่.ที่รัก แล้วส่งมาอวดทางเรากันเยอะ ๆ นะ อยากเห็น