เปิดตัว 3 สาว ผู้อยู่เบื้องหลัง
ทุกความรู้สึกอันละเอียดอ่อนของแต่ละตัวละครใน
‘แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า’
‘นัตตี้-นันทนัท ฐกัดกุล’
แอ็คติ้งโค้ชผู้นำกระบวนการเวิร์กชอป ขั้นตอนแรกของการเข้าใจตัวละคร
‘เอิร์ธ-รุจิษยา ทิณรัตน์’
แอ็คติ้งโค้ชประจำกองผู้อยู่ทุกช่วงเวลาสำคัญ ทุกโมเมนต์ตัวละคร
และ ‘แคลร์-จิรัศยา วงษ์สุทิน’
ผู้กำกับ ผู้เขียนบท และผู้ที่เข้าใจตัวละครมากที่สุด
ทั้งสามคนเคยทำงานร่วมกันมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะในฐานะนักแสดง
หรือแอ็คติ้งโค้ชผู้อยู่เบื้องหลัง นับตั้งแต่เป็นเพื่อนร่วมคณะ วันที่แคลร์ทำหนังสั้น รวมถึงวันที่แคลร์ทำซีรีส์เรื่องแรก จึงทำให้เข้าใจสไตล์การแสดงแบบเดียวกัน จนแค่อ่านบทก็เข้าใจ
และเมื่อมาเป็นทีมนักแสดงใน ‘แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ ร า’ ที่ต้องผ่านกระบวนการทำความเข้าใจตัวละครอย่างละเอียดอ่อน โดยยึดหลัก ‘รู้สึก’ ก่อนที่จะ ‘แสดง’ จนออกมาเป็นแต่ละซีนที่เรียกน้ำตาจากหลายๆ คน อย่างที่เราได้ชมกันในภาพยนตร์ เบื้องหลังจะเป็นอย่างไร ตามไปดูพร้อมๆกัน…
“เอินเอิน กับ แฟร์รี่ ยิ่งอยู่ด้วยกัน ยิ่งเกิดเป็นเคมี เป็นความรู้สึกอะไรบางอย่างระหว่างกัน จนหลังๆ แทบไม่ต้องไกด์ให้เลย เป็น Magic มาก”
- แคลร์ ผู้กำกับ -
‘แคลร์’ และ ‘เอิร์ธ’ หนึ่งในทีมแอ็คติ้งโค้ช เล่าว่า ตั้งแต่ ‘เอินเอิน’ กับ ‘แฟร์รี่’ ลองเข้าซีนด้วยกันครั้งแรกตอนแคสต์นักแสดง เคมีของทั้งคู่ก็ฉายแสง จนต้องขีดเส้นใต้ว่า ‘ต้องเป็นคู่นี้เท่านั้น’ ด้วยความที่เอินเอินมีทั้งความแกร่ง ความเข้มแข็ง แต่ก็มีจริตผู้หญิงผสมอยู่ ส่วนแฟร์รี่ก็มีความเป็นเด็ก ใสซื่อ พออยู่ด้วยกันเลยกลายเป็นเคมีที่น่าสนใจกว่าที่แคลร์คิดไว้ตอนเขียนบทเสียอีก
เมื่อทั้งคู่ได้เข้าร่วมกระบวนการ Workshop ‘นัตตี้’ หนึ่งในทีมแอ็คติ้งโค้ช เล่าว่า สองสาวมีความเปิดกว้าง ตั้งใจรับคำแนะนำเป็นอย่างดี ตลอดช่วงพักกระบวนการก็จะมีช่วงเวลาน่ารักๆ ที่ทั้งคู่พูดคุยมุ้งมิ้ง งุ้งงิ้ง กันอยู่สองคน นั่นยิ่งทำให้เคมียิ่งน่ารักขึ้นไปอีก การทำงานกับตัวละครจึงเป็นไปได้ด้วยดี และเมื่อเริ่มถ่ายทำ ทั้งสองก็สามารถเข้าบทเป็นพี่แอนและน้องเจนได้เลย เพียงแค่ทำสมาธิด้วยกันเท่านั้น
“วิธีการเป็นตัวละครที่เวิร์คที่สุดสำหรับสองคนนี้ อยู่ที่ว่า ณ จังหวะนั้น เขามีสมาธิแค่ไหน คือถ้าแค่มีสมาธิ แล้วอยู่ด้วยกันสองคน มันก็จะเป็นพี่แอนน้องเจนได้เลย” เอิร์ธ กล่าว
“ความยากคือ คาแรกเตอร์มันไกลตัวเอินเอินมาก เราจึงต้องทำมากกว่าการอธิบาย แต่ต้องพาเขาไปรู้สึกสิ่งนั้นจริงๆ ดังนั้นโจทย์คือ เราต้องพาเขาไปรู้สึกให้ได้ เท่าที่ตัวละครรู้สึก” - นัตตี้ แอ็คติ้งโค้ช -
หนึ่งในความยากของเรื่องนี้คือ ตัวละคร ‘พี่แอน’ แตกต่างจากตัวตนของ ‘เอินเอิน’ มาก ดังนั้นขั้นตอนที่ต้องเข้มข้นที่สุดเพื่อให้ เอินเอิน ทำความเข้าใจและกลายเป็น ‘พี่แอน’ ให้ได้ คือ ช่วงการเข้าเวิร์กชอปกับ ‘นัตตี้’ โดยมี ‘เอิร์ธ’ เป็นผู้เฝ้าสังเกตและผู้ช่วยในกระบวนการด้วย
‘นัตตี้’ และ ‘เอิร์ธ’ เล่าว่า เนื่องจากเอินเอินยังไม่เคยมีแฟน ไม่เคยต้องผ่านชีวิตที่โหดร้ายเหมือนกับพี่แอน จึงเป็นโจทย์ให้ทีมโค้ชต้องทำสุดความสามารถเพื่อใส่ความรู้สึกพี่แอนลงไปในตัวเอินเอิน โดยสร้างโลกของพี่แอนขึ้นมาเพื่อให้เอินเอินเข้าใจและคุ้นชินกับโลกและชีวิตของพี่แอน
ทั้งคู่ได้พาเอินเอินไปทำงานกับแฟลต สถานที่ถ่ายทำจริง และให้การบ้านเพื่อทำความเข้าใจ mindset รวมทั้งชีวิตตัวละคร ก่อนที่จะนำสิ่งเหล่านั้นมา improvise สถานการณ์ต่างๆ ตลอดการเวิร์กชอป เพื่อให้เอินเอินค่อยๆ ซึมซับและหลอมรวมเป็นความเข้าใจในตัวละครและเตรียมเข้าซีนในวันถ่ายทำในที่สุด
“สำหรับตี้แฟร์รี่เป็นนักแสดงที่ไม่เคยตั้งกับถามกับช้อยส์ของตัวละครที่ทีมกำกับเลือก เค้าพร้อมกระโจนและทำตามสัญชาตญาณ”
- นัตตี้ แอ็คติ้งโค้ช -
ในสายตาของ ’นัตตี้’ นั้น ‘แฟร์รี่’ นับเป็นนักแสดงที่มีคุณสมบัติความ ‘สดใหม่’ มาก ซึ่งเกิดจากการที่ไม่เคยโดนตั้งกรอบอะไรมาก่อน ไม่เคยตั้งคำถาม ไม่เคยมีประสบการณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้การแสดงของแฟร์รี่มีเสน่ห์มากๆ โมเมนต์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเข้าซีนจึงทั้งจริงใจและบริสุทธิ์ ซึ่งไม่ใช่นักแสดงทุกคนที่จะมีความพิเศษนี้
ก่อนมาสู่กระบวนการนี้ บท ‘เจน’ ที่แคลร์มองหา คือเด็กที่ดูทอมบอยแต่ในวันที่แฟร์รี่มาแคสต์ เธอมีความเป็นตัวของตัวเอง ใสซื่อ ไร้เดียงสา ซึ่งเหมาะกับบทเจนผู้ที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ตัวละคร ‘เจน’ กับ ‘แฟร์รี่’ มีตัวตนที่ใกล้เคียงกันมาก เธอจึงได้รับเลือกเป็น ‘น้องเจน’ ในที่สุด
“ความน่ารักของหนูไนซ์ ได้มาจากอาโปเยอะมาก อะไรที่น่ารักๆ ในหนัง เช่น มุกยิงปืน อาโปเป็นคนทำเองหมดเลย เขามีมุมน่ารักแบบที่คิดไม่ถึงเยอะมาก แคลร์เลยหยิบยืมมาใช้ในหนูไนซ์เยอะเหมือนกันค่ะ”
- แคลร์ ผู้กำกับ -
ทั้งแคลร์ นัตตี้ และเอิร์ธ เล่าตรงกันว่า ‘อาโป’ เป็นเด็กที่ตั้งใจ และมีความ Professional สูงมาก ยิ่งอาโปมีหมวกอีกใบเป็นศิลปินไอดอล เขาจึงมีวินัยมาก แต่สำหรับบท ‘หนูไนซ์’ ทีมต้องการให้อาโปทิ้งส่วนนั้นไปให้หมด เขาต้องกลายเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องเผชิญความกดดันอะไร ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องแบกรับ ซึ่งเป็นหนึ่งในความท้าทายของทั้งทีมแอ็คติ้งโค้ชและนักแสดง
และด้วยความที่แฟลตเกิร์ลฯ เป็นหนังเรื่องแรกของอาโป เขาจึงตื่นเต้นมาก ซึ่ง ‘เอิร์ธ’ เล่าว่า จริงๆแล้ว แค่อาโปผ่อนคลายและมั่นใจว่าเขาทำได้ อาโปก็กลายเป็นหนูไนซ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่นกันกับนัตตี้ ที่มองว่า อาโปเป็นหนูไนซ์แบบไร้รอยต่อ เพราะเป็นคนที่มีเสน่ห์ และมีความตลก ที่มีเซนส์คอเมดี้ดีอยู่แล้ว
“เมื่อไหร่ที่อาโปปล่อยตัวสบายๆ นั่นก็คือหนูไนซ์แล้ว นั่นคือเหตุผลที่เราเลือกอาโป” เอิร์ธ กล่าว
“แคลร์อยากจะลบภาพพระเอกของพี่บอยออกไป เพื่อที่จะให้คนดูเชื่อว่าเขาเป็น อาตอง จริงๆ” - แคลร์ ผู้กำกับ -
แคลร์ให้โจทย์กับทีมว่าต้องลบภาพจำพระเอกของบอย ปกรณ์ แล้วให้ผู้ชมเชื่อว่านี่คือ ‘อาตอง’ ให้ได้ ดังนั้นความเชื่อ แคลร์ นัตตี้ เอิร์ธ และพี่บอย จึงเป็นการทำงานแบบเป็นทีมมากๆ พวกเราเอามุมมองจากแต่ละคนมารวมกันเพื่อช่วยกันทำให้คาแร็กเตอร์ของอาตองออกมาดีที่สุด
“เราก็จะบอกพี่บอยว่าจริงๆ ธรรมชาติของพี่บอยในมุมติ๊งต๊องๆ นี่แหละ ที่เราว่ามัน connect กับอาตองได้ดี เราอยากให้เขาเอาโมเมนต์นั้นมาใช้เยอะๆ” นัตตี้ กล่าว
นัตตี้ยังเล่าด้วยว่า หนึ่งในสิ่งที่พี่บอยทำได้ดีมาก ในการค่อยๆ เป็นอาตองคือสิ่งที่เรียกว่า ‘หยอดประปุก’ “ที่เรียกอย่างนี้ เพราะทุกครั้งที่มีคอมเมนต์ให้พี่บอย พี่บอยจะเอาไปพัฒนา และเป็นอาตองมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่เข้าเวิร์กชอป และอีกอย่างที่พี่บอยต้องพยายามปรับเพื่อเป็นตัวละครมากขึ้นคือ ‘ความฉลาด’ เพราะจริงๆ แล้วพี่บอยเป็นคนที่มีความคิดที่เฉียบแหลม ทำให้เขาฉลาดเกินตัวละคร อาตองเป็นคาแร็กเตอร์ที่คิดไม่ซับซ้อน และใช้วิธีง่ายๆ ในการจัดการปัญหาต่างๆ ซึ่งมันก็เป็นหนึ่งในเสน่ห์ที่ทีมต้องงัดออกมาให้ได้”
“พี่บอยพูดตลอดว่า ถ้าไม่โอเคบอกเลยนะ ถ้าอยากได้ตรงไหนอีกบอกเลยนะ เอิร์ธประทับใจมากที่ถึงแม้พี่บอยจะเล่นละครมาเยอะ แต่เขาก็แสดงให้เห็นเสมอมาว่า เขาไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว” เอิร์ธ กล่าวเสริม
“พอเราเห็นน้องเล่นซีนนี้ เรารู้เลยว่าน้องๆ ทั้งสองเจอแล้วว่า ฉันรักพี่แอน และฉันรักน้องเจน” - เอิร์ธ แอ็คติ้งโค้ช
เอิร์ธ เล่าว่า เพราะทั้งสองมีการทำการบ้านเรื่องความสัมพันธ์ และการใช้เวลาร่วมกัน จนทำให้เกิด Magic ระหว่างถ่ายทำ จังหวะต่างๆ ที่เล่นในซีนจึงเป็นไปอย่างธรรมชาติ ทำให้ซีนอย่าง ‘Butterfly Kiss’ ง่ายกว่าที่คิด และยังเป็นซีนที่ทำให้เอิร์ธปักใจเชื่อว่า ทั้งสองเข้าใจตัวละครพี่แอนและน้องเจนอย่างแท้จริง
การลองทำ Butterfly Kiss ของทั้งคู่เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงเวิร์กชอป โดยนัตตี้เล่าว่า ได้แจกโจทย์เรื่องความใกล้ชิดให้ทั้งคู่รู้สึกถึงคำว่าโหยหา จนเกิดเป็นแรงดึงดูดระหว่างกันและกัน และ Magic Moment ก็เกิดขึ้น เมื่อนัตตี้โยนโจทย์ใหม่ไปว่า ถ้าหากมีคนนึงถอยจากความสัมพันธ์ล่ะ? เมื่อถึงจุดนี้ หนึ่งในทั้งสองถึงกับร้องไห้ ซึ่งนัตตี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าเวิร์กชอปจะพาน้องทั้งสองไปได้ถึงจุดนั้น
“มันคือการที่เค้า connect กันจริงๆ ต้องการกันจริงๆ และรักกันจริงๆ ซึ่งโมเมนต์หลังจากนั้น ตี้ว่ามันเทียบเคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังได้ชัดเจน” นัตตี้ กล่าว