- ตอนที่ได้รู้ว่า บทฝาแฝดครั้งนี้ มี ‘ใบปอ’ เป็นนักแสดงแค่คนเดียว -
“ตอนนั้นก็ขนลุกเบาๆ คิดว่ายังไงก็ต้องยาก ยิ่งได้คุยกับพี่วรรณพี่แวว ผู้กำกับ ก็ยิ่งมั่นใจว่านอกจากจะเป็นงานของคิวถ่ายแล้ว วิธีที่ถ่าย เทคนิคต่างๆ ในส่วนของการแสดงก็ยากไม่แพ้กัน เพราะว่าน้องใบปอเองก็เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แล้วต้องเจอบทฝาแฝดที่มีลักษณะนิสัยต่างกัน”
“วิธีที่ทำให้ใบปอแสดงเป็นทั้ง ‘ยู’ และ ‘มี’ ได้คือ ต้องใช้คีย์เวิร์ดค่ะ การกำหนดคีย์เวิร์ดจะทำให้การแสดงไม่หลงทาง ช่วงแรก การสลับตัวไปมา
ระหว่าง ยู และ มี บางทีมันก็ไปไม่สุด จนในที่สุดครูกับน้องก็มานั่งหาคีย์เวิร์ดร่วมกัน อย่าง ‘มี’ เราจะใช้คำว่า ‘หมาป่า’ และ ‘คูลเกิร์ล’ เพื่อให้ใบปอสามารถคิดได้ในทันทีว่าตัวละครของมีมีลักษณะเป็นอย่างไร ส่วน ‘ยู’ ใช้คำว่า‘โกลเด้น’ และ‘ ซอฟต์หวาน’ พอมีคีย์เวิร์ด ใบปอเองก็จะมีที่ยึด เพื่อใช้ในการสลับตัวละครไปมา”
- คีย์เวิร์ดสำหรับ ‘โทนี่’ -
“ช่วงแรกๆ ที่เจอโทนี่ เขาคือเด็กลูกครึ่ง วิธีการเดิน การพูด ท่าทาง คือแบบวัยรุ่นฝรั่งเลย ในขณะที่ ‘หมาก’ คือ เด็กหนุ่มซื่อๆ ใสๆ แต่มีพลังหนักแน่นพอสมควร ในช่วงแรกๆ ตัวละครหมากไกลกับโทนี่มากๆ แต่เพราะเขาตั้งใจและเขารู้ว่าการจะรับบทนี้ได้ต้องทำการบ้านหนักมาก ต้องเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ในที่สุดเขาก็ทำได้ และก็กลายเป็นหมากแบบที่ทุกคนได้เห็น ต้องบอกว่าวินัยของโทนี่ดีมาก กว่าที่จะเห็นเขาเป็นแบบนี้ได้ ครูว่าไม่ง่ายสำหรับนักแสดงใหม่แบบเขา”
“สำหรับคีย์เวิร์ดที่ครูกับโทนี่มีร่วมกัน คือคำว่า ‘ตาสีฟ้า’ ในช่วงแรกๆ เอเนอร์จีของเขาจะเบาและลอย จึงต้องหาวิธีถ่วงน้ำหนักลงพื้นให้ตัวหมากมีพลังเวลาพูด เวลาเดิน มากขึ้น บวกกับคำว่า ตาสีฟ้า ในความหมาย คือความสดใส ความเป็นมิตร และมีความเข้มนิดๆ พอปรับจูนกันได้แล้ว เวลาที่โทนี่เข้าไปอยู่ในคาแรกเตอร์ แล้วเขาปล่อยตัวฟรีสไตล์ มันจะเป็นช่วงเวลาที่คนดูอย่างเราจะสบายตา สบายใจมากๆ กล้องเป็นเหมือนอุปกรณ์ที่ใช้เฝ้ามองและ เรคคอร์ดเสน่ห์ของน้องที่อยู่ตรงหน้า”
- ข้อดีของนักแสดงหน้าใหม่ -
“ข้อดีของนักแสดงหน้าใหม่ คือเราจะเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลา เพราะความที่เขาใหม่ เราจะเจอโมเมนต์ที่เป็นธรรมชาติ โมเมนต์ที่มีเสน่ห์หลายครั้งมากๆ ข้อดีอีกอย่างคือ พวกเขาไม่ได้แบกความคาดหวัง อยากทำอะไรก็ทำพวกเขารู้ตัวว่าจะต้องเจอบทหนักในหนังเรื่องนี้ ทำให้ยิ่งเต็มที่กับการบ้านที่เราให้โจทย์ไป”
“โดยเฉพาะการนั่งวิเคราะห์บทสนทนาของตัวละครตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง เพราะว่าแต่ละประโยคที่พูดออกมา นักแสดงต้องทำการบ้านว่า พูดเพราะอะไร เพื่ออะไร เบื้องหลังของประโยคหมายความว่าอะไร โดยนั่งคุยกับครูและพี่วรรณ พี่แวว นอกจากการวิเคราะห์ ใบปอยังต้องเขียนไดอารี่ ทุกฉากในฐานะ ยู และ มี เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกเหมือนตัวละคร ซึ่งจะเหนื่อยมากๆ ในช่วงก่อนถ่ายทำ แต่พอช่วงออกกอง ทุกอย่างมันดีเลย เขาทำออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ และ จริงใจ สำหรับครูนั้นมันคือเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ได้เจอ”
- สิ่งที่ทำให้ ใบปอ,โทนี่ พัฒนาอย่างก้าวกระโดด -
“คิดว่าคงเป็นแพชชันของน้องทั้งสองคน ทั้งความตั้งใจ ความทุ่มเท ความพยายาม ความกล้าที่จะเปลี่ยน ด้วยความที่น้องๆ เขาไม่ค่อยกลัวการคอมเมนต์ และกล้าลอง เวลาครูบอกให้ปรับ ให้เปลี่ยน หรือลองวิธีใหม่ๆ เขาเต็มใจ ตั้งใจ ในมุมมองของคนสอนเลยรู้สึกได้ว่ามันคือความกระตือรือร้นของคนที่รักในสิ่งที่ตัวเองทำ”
“เช่นฉากในบึงบัวที่ครูไม่ได้อยู่ใกล้น้อง ต้องโค้ชกันผ่านวอล์คกี้ทอล์คกี้ ตอนแรกโทนี่กลัวน้ำมาก แต่พอบอกว่าน้ำมันไม่ได้ลึกมาก และอย่าไปสนใจ ให้มุ่งไปที่ความต้องการของตัวละครในฉากนี้ ทำไปทำมาปรากฎว่าโทนี่ชอบลงน้ำหายกลัวไปเลย แล้วยิ่งหลังๆ น้องก็เริ่มเจอสิ่งที่สามารถลิงก์กับตัวละครได้ง่ายขึ้น รู้วิธีสร้างอารมณ์ให้ตัวเอง โค้ชไปน้องก็จะทำมาให้มากกว่าที่โค้ชเสมอ ครูเลยเรียกรวมๆ สิ่งเหล่านี้ว่าแพชชัน”
- ความท้าทายในการโค้ชนักแสดงเรื่องนี้ -
“ความท้าทายในการทำหนังเรื่องนี้ คือเราไม่เคยทำหนังฝาแฝดมาก่อนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นนักแสดงคนเดียวที่ต้องเล่นเป็นแฝด มันไม่ได้ทำงานกับแค่การแสดง แต่ว่ายังมีเรื่องสภาพแวดล้อม อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ทำงานภายในคิวเทค ที่ต้องเป๊ะ บท อารมณ์ ทุกอย่างมันต้องรอบคอบมากๆ มันเลยทั้งท้าทายทั้งภูมิใจที่สุดท้ายก็สำเร็จมาได้ ในแบบที่ตั้งใจ”
“ในฐานะที่เป็นครูสอนการแสดง การจะหานักแสดงที่ตั้งใจ แพชชันสูง และ วินัยดี ไม่ใช่เรื่องง่ายใบปอ กับ โทนี่ เด็กนักแสดงหน้าใหม่ที่ทำการบ้านหนักที่สุดทุกวันนี้เวลาครูไปสอนที่อื่นๆ ครูมักจะหยิบโทนี่และใบปอมาเป็นตัวอย่างเสมอว่า กว่าที่พวกเขาจะผ่านมาได้ พวกเขาเองลงมือทำอย่างหนักมาตลอดตั้งแต่วันแรก ที่สำคัญคือ การที่ใบปอ กับ โทนี่ ที่สามารถเริ่มต้นจากศูนย์มาถึงร้อยได้ ครูเคารพในความตั้งใจของพวกเขาจริงๆ”